กลอนสะท้อนอารมณ์
:
บันทึกเหตุแห่งรัก เรื่องราวในวัยวาน
นายเทวา
ชื่นชู รหัส 5414610045
บทนำ
“ก่อนร่างนางยังโฉมชมว่าสวย
แต่พอม้วยมรณาหาดีไม่
ถูกเขาทำนำใส่ไปเผาไฟ เหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าอัฐิยัดโกศพอ”
บทกลอนนี้เป็นบทกลอนที่ผู้เขียนแต่งไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการสูญเสียญาติอันเป็นที่รัก
ท่านเป็นน้าสาวที่มีความสวยทั้งใบหน้าและจิตใจ แต่ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ความสวยไม่จีรังแต่ยังด้วยความดี
หากถามว่าผู้เขียนมีความรู้อะไรมากที่สุด
คงบอกได้อย่างไม่ละอายใจว่า เป็นภาษาไทย โดยเฉพาะเรื่องการใช้ภาษาไทย
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้อย่างลึกมาก เพราะด้วยสาขาวิชาการเรียนตอนปริญญาตรี
จะมุ่งเน้นที่เนื้อหาเพื่อนำไปใช้สอน แต่ก็ถือว่ารู้รอบอยู่ในระดับมาก ภาษาไทย
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ระบุไว้ว่า
ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง ทั้งเรื่องเกี่ยวกับ การอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย รวมถึงวรรณคดีและวรรณกรรม
สิ่งที่ผู้เขียนถนัดที่สุดเห็นจะเป็นการแต่งคำประพันธ์
โดยเฉพาะการแต่งกลอน ที่มีชื่อเรียกอื่น ๆ คือ กลอนตลาด กลอนสุภาพ กลอนแปด
เหตุผลที่ถนัดเนื่องจากชอบการแต่งกลอนมาตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาตอนปลาย เคยแต่งเล่น
ๆ แซวคนนั้นคนนี้ แล้วเริ่มแต่งเป็นจริงเป็นจังส่งเข้าประกวดงานต่าง ๆ
ได้รางวัลบ้าง ไม่ได้บ้างแต่ไม่เคยคิดถึงเรื่องกล่อง คิดว่าได้ทำสิ่งที่ตนเองชอบ
และได้พัฒนาฝีมือตนเอง ก็มีความสุขใจ เมื่อได้เรียนกับคุณครูตั้งแต่สมัยประถม
เคยแต่งกลอนแข่งกับเพื่อน ๆ บนกระดานดำ และได้รับผลชนะ
เรื่อยมาจนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย
คุณครูได้สอนให้รู้จักและฝึกแต่งกลอนในระดับที่ยากขึ้นตามวัย
และเมื่อได้มาศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
จึงได้ฝึกปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยนำหลักการมาใช้พัฒนาตนเองอีกขั้น
“รักแรกเริ่มเริ่มรู้เรื่องแรกรัก แล้วรู้หลักรักไร้หลอกหลงเหลือหลาย
แล้วรักเริ่มร้อนแรงลีลาราย ริรำร่ายหลายหลากหลุมรักรุมรอน
แล้วรักเริ่มลุล่วงโรยลาแล้ง รักไร้แรงร้างลาเลิกราหลอน
เรื่องแรกรักลมหลงลงรักร้อน รักร้าวรอนร้าวรานรักหลอกลวง”
ผลงานเมื่อความรักบังเกิดสมัยวัยแรกแย้ม
มิได้เกิดแต่ตัวแต่ได้จากเพื่อนรอบข้างที่ประสบชะตากรรมเรื่องความรักกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสะท้อนและถ่ายทอด
การศึกษาเรื่องแต่งคำประพันธ์อย่างจริงจัง มิได้ง่ายอย่างที่คิด
ในรั้วมหาวิทยาลัยได้บ่มเพาะ และเน้นการฝึกฝนอย่างชัดเจน
ยังไม่เป็นที่สรุปได้ว่า กลอน
มีมาตั้งแต่ในสมัยใด แต่กลอนน่าจะเป็นของไทยแท้
โดยได้ดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านของไทย เช่นกลอนสด เพลงเรือ เพลงเกี่ยวข้าว
จนมีนักปราชญ์นำกลอนมาดังกล่าวมากำหนดสัมผัสตายตัว
เป็นฉันทลักษณ์ของกลอนต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ถือเป็นยุคเฟื่องฟูของกลอน
กวีที่สำคัญในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ท่านนี้คือ สุนทรภู่ เป็นผู้คิดสัมผัสในของกลอน
และกลายเป็นแบบฉบับของกลอนที่มีความไพเราะจวบจนปัจจุบัน
ความหลากหลายของกลอน
มีทั้งกลอนขับร้องหรือกลอนลำนำ กลอนเพลง
และมีการแตกหน่อออกเป็นกลอนเปล่าหรือกลอนกระดาษ และกลอนชนิดอื่น ๆ โดยไม่ยึดหลักฉันทลักษณ์ตามรูปแบบ
สิ่งนี้เองทำให้เกิดการขีด ๆ เขียน ๆ เรื่องราวผ่านตัวอักษรให้ผู้เขียนมากขึ้น
จนมีสมุดบันทึกอารมณ์ ผู้เขียนเริ่มแต่งโคลง กาพย์ และฉันท์ตามโอกาสต่าง ๆ
ช่วงชีวิตหนึ่งจากที่เคยนำประสบการณ์จากผู้อื่นมาถ่ายทอด
กลับต้องนำชีวิตตัวเองเป็นวัตถุดิบให้ตัวเองได้ใช้ถ่ายทอดอารมณ์
ปลดปล่อยความรู้สึก จนมีความคิดจะพิมพ์รวมเล่มเก็บไว้ หากถึงกาลอันเหมาะสม
คงมีหนังสือรวมบทกลอนวัยใสสักเล่ม
แต่การณ์กลับมิได้เป็นเช่นที่คิดหวัง
ช่วงวัยวันอันสดใสได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จนได้บรรจุเป็นครูภาษาไทยในโรงเรียนประถมศึกษา ณ จังหวัดจันทบุรี ความรู้
ประสบการณ์ทั้งหมดได้นำมาใช้จริง ๆ และได้พัฒนานักเรียนได้มากมายเป็นประโยชน์
และเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่เรียนมามิได้ไร้ค่า
ผู้เขียนได้สอนและฝึกนักเรียนให้รู้จักและได้เรียนรู้การแต่งคำประพันธ์ชนิดต่าง
ๆ ถ่ายทอดโดยยกตัวอย่าง ลงมือปฏิบัติ เหมือนสมัยที่เคยได้ร่ำเรียนมา
แต่ปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทของโรงเรียนและนักเรียน จนนักเรียนสรรค์สร้างผลงาน
ครูได้นำผลงานมารวบรวมเป็นเล่ม ใช้ชื่อว่า “นักประพันธ์น้อย”
เป็นผลงานที่น่าภาคภูมิใจของเด็ก ๆ
ที่ได้เห็นผลงานของตนเองถูกตีพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษเพื่อเผยแพร่ในโรงเรียน
ประกายเล็ก ๆ นี่เองที่ทำให้นักเรียนมีแรงบันดาลใจจะเขียนงานเขียนอื่น
ๆ ต่อ จนนักเรียนได้รับรางวัลในระดับกลุ่มโรงเรียน ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด
หรือแม้แต่ได้รับทุนการศึกษาจากงานเขียน
ความฝันที่จะมีหนังสือรวบรวมกลอนยังไม่หมด
แต่ในสมุดบันทึกอารมณ์เริ่มหนาขึ้นด้วยร่องรอยแห่งประสบการณ์ ผลงานเริ่มมากขึ้น
แต่งไว้เก็บไว้ บางผลงานแต่งเพื่อใช้เฉพาะงาน จะทิ้งก็เสียดาย
จึงรวบรวมไว้เป็นผลงานอันน่าภาคภูมิใจ ถึงสองเล่มหนา ๆ
เมื่อว่างจากงานจึงนำกลับมาหวนอดีต และปรับแก้ถ้อยคำที่ยังไม่ลงตัว ถึงแม้จะกลับไปปรับแก้อดีตไม่ได้ก็ตาม
บางครั้งก็นำมาพิมพ์แต่พิมพ์ได้ไม่มาก เพราะช่วงเวลาไม่อำนวย
จึงเก็บกักไว้ที่มุมหนังสือ จนนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว
ผลกลับเป็นที่น่าเสียดาย โชคร้ายแห่งชีวิตได้เผชิญ ณ บัดนี้
ปลวกเจ้ากรรมได้มากัดกินสมุดบันทึกอารมณ์ ประสบการณ์ได้หลุดลุ่ย ร่วงกราว
ลงสู่พื้นอย่างทันตา เหมือนปลวกน้อยจะส่งสายตาปริบ ๆ กลอนเธออร่อยจัง
คงหยุดความฝันไว้เพียงแค่นั้น !
สรุป
เมื่อผู้เขียนได้มาทำงานในโรงเรียนมัธยมศึกษา
ทำให้ได้รู้ว่า ความท้าทายใหม่ช่างเร้าใจ เพราะนักเรียนโตขึ้น ความยากมากขึ้น
ผู้เขียนได้เร่งค้นคว้าเรื่องราวของคำประพันธ์ให้มากขึ้น
สอนนักเรียนให้มากกว่าระดับประถมศึกษา
เมื่อมีกิจกรรมในโรงเรียนจะส่งเสริมเพื่อพัฒนาให้นักเรียนได้เข้าแข่งขัน
ในระดับต่าง ๆ ตามงานวันระลึกถึงสุนทรภู่ กวีเอกของโลก งานสำคัญอื่น ๆ
จนนักเรียนได้รับรางวัลหลายรายการ ผู้เขียนจะบอกนักเรียนเสมอว่า เรามาหาประสบการณ์
มาหาเพื่อน เพื่อจะได้พัฒนาตนเอง รางวัลเป็นผลพลอยจากความเพียรพยายาม
แม้ผู้เขียนจะไปไม่ถึงดวงดาวแห่งฝันที่ตั้งใจไว้
แต่ผู้เขียนจะยังคงผลักดันให้นักเรียนได้ไปถึงจุดหมายต่อไป
“เดินบนหนทางอันกว้างใหญ่ ที่ทอดไกลไปสู่ทางข้างหน้า
ไม่รู้จะพบอะไรในสายตา ให้เผชิญกับเวลาและอารมณ์
ครั้นบางทีแยกทางระหว่างสอง เป็นทางแยกจำต้องปองเหมาะสม
เลือกทางเดินต่อไปได้เชยชม อย่าให้ใครมาข่มให้เลือกทาง
บ้างก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวเวียนหัว อุปสรรคพันพัวให้สะสาง
เผชิญหน้าปัญหาอย่างเป็นกลาง การทุกอย่างสำเร็จเสร็จดังใจ
อนาคตเหมือนทางก้าวย่างรู้ ฟันฝ่าลองดูไกลเพียงไหน
อาจต้องพบปัญหามาโถมใส่
สู่ต่อไปที่หวังไว้ไม่ไกลเกิน”
จากสมองส่วนความจำที่ยังพอระลึกได้.
**********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น